วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

4-1



การวิเคราะห์และออกแบบระบบสารสนเทศ

การวิเคราะห์และออกแบบระบบ
ความรู้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบมีความสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยในการสร้างและพัฒนาระบบสารสนเทศ การวิเคราะห์ระบบเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะนักวิเคราะห์ระบบต้องติดต่อกับคนหลายคน ได้รู้ถึงการจัดการและการทำงานในองค์การ ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์หลายแบบมากขึ้น ผู้ที่สามารถวิเคราะห์ระบบได้ดี ควรมีประสบการณ์ในการเขียนโปรแกรม มีความรู้ทางด้านธุรกิจ ความรู้เกี่ยวกับระบบเครือข่ายและฐานข้อมูล ซึ่งใช้เป็นความรู้ในการออกแบบระบบที่มีความแตกต่างกันออกไปตาม สภาพงาน ดังนั้น หน้าที่ของนักวิเคราะห์ ก็คือการศึกษาระบบ แล้วให้คำแนะนำในการปรับปรุงและพัฒนาระบบนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการทำงานทั้งหมดต้องมีลำดับขั้นตอนและการศึกษาวิธีการวิเคราะห์และการออกแบบระบบในแต่ละขั้นตอน ทำให้เข้าใจการวิเคราะห์ระบบนั้นๆ ดียิ่ง และสามารถออกแบบระบบใหม่โดยไม่ยากเย็นนัก โดยสามารถตัดสินใจว่า ระบบใหม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ประเภทไหน ใช้โปรแกรมอะไร ออกแบบInput/Output อย่างไรเป็นต้น
ระบบ
ระบบคือกลุ่มขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์อันเดียวกัน ระบบอาจจะประกอบด้วย บุคคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ พัสดุ วิธีการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบจัดการอันหนึ่ง เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อันเดียวกัน เช่น ระบบการเรียนการสอน มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน


การวิเคราะห์ระบบและการออกแบบ (System Analysis and Design) การวิเคราะห์และออกแบบระบบคือ วิธีการที่ใช้ในการสร้างระบบสารสนเทศขึ้นมาใหม่ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งหรือ ระบบย่อยของธุรกิจ นอกจากการสร้างระบบสารสนเทศใหม่แล้ว การวิเคราะห์ระบบ ช่วยในการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วยก็ได้ การวิเคราะห์ระบบก็คือ การหาความต้องการ (Requirements) ของระบบสารสนเทศว่าคืออะไร หรือต้องการเพิ่มเติมอะไรเข้ามาในระบบ และการออกแบบก็คือ การนำเอาความต้องการของระบบมาเป็นแบบแผน หรือเรียกว่าพิมพ์เขียวในการสร้างระบบสารสนเทศนั้นให้ใช้งานได้จริง ตัวอย่างระบบสารสนเทศ เช่น ระบบการขาย ความต้องการของระบบก็คือ สามารถติดตามยอดขายได้เป็นระยะ เพื่อฝ่ายบริหารสามารถปรับปรุงการขายได้ทันท่วงที ตัวอย่างรายงานการขายที่กล่าวมาแล้วจะชี้ให้เห็นว่าเราสามารถติดตามการขายได้อย่างไร
นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst หรือ SA) นักวิเคราะห์ระบบคือ บุคคลที่มีหน้าที่วิเคราะห์และออกแบบระบบ ซึ่งปกติแล้วนักวิเคราะห์ระบบควรจะอยู่ในทีมระบบสารสนเทศขององค์กรหรือธุรกิจนั้นๆ การที่มีนักวิเคราะห์ระบบในองค์กรนั้นเป็นการได้เปรียบ เพราะจะรู้โดยละเอียดว่า การทำงานในระบบนั้นๆเป็นอย่างไรและอะไรคือความต้องการของระบบ ในกรณีที่นักวิเคราะห์ระบบไม่ได้อยู่ในองค์กรนั้น ก็สามารถวิเคราะห์ระบบได้เช่นกัน โดยการศึกษาสอบถามผู้ใช้และวิธีการอื่นๆ ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง ผู้ใช้ในที่นี้ก็คือเจ้าของและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบสารสนเทศนั้นเอง ผู้ใช้อาจจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ เพื่อให้นักวิเคราะห์ระบบทำงานได้อย่างคล่องตัวมีลำดับขั้นและเป้าหมายที่แน่นอน นักวิเคราะห์ระบบควรทราบถึงว่า ระบบสารสนเทศนั้นพัฒนาขึ้นมาอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
การจัดการข้อมูล
วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Lift Cycle-SDLC) ระบบสารสนเทศทั้งหลายมีวงจรชีวิตที่เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดจนตาย วงจรนี้จะเป็นขั้นตอนที่เป็นลำดับตั้งแต่ต้นจนเสร็จเรียบร้อยเป็นระบบที่ใช้งานได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบ ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าในแต่ละขั้นตอนจะต้องทำอะไร และทำอย่างไร ขั้นตอนการพัฒนาระบบมีอยู่ด้วยกัน ขั้นตอนคือ
            1. เข้าใจปัญหา (Problem Recognition)
            2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)
            3. วิเคราะห์ (Analysis)
            4. ออกแบบ (Design)
            5. สร้าง หรือพัฒนาระบบ (Construction)
            6. การปรับเปลี่ยน (Conversion)
            7. บำรุงรักษา (Maintenance)


  1. Strategy House:
    บริษัทที่ดังๆที่พูดชื่อขึ้นมาแล้วใครๆก็นึกออก คือ Mckinsey & Company, Boston Consulting Group (BCG) พวกนี้ในความคิดของฉันจะเป็นพวก fly high ให้คำปรึกษาระดับกลยุทธ์โดยรวมของบริษัท (corporate strategy) โจทย์ของพวกเค้าจะกว้างเป็นมหาสมุทร เช่น ทำยังไงให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้า (=..=) ขอทำจมูกบานแป๊บ ดังนั้นคนที่ทำงานบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นอัจฉริยะกลับชาติมาเกิด จบ MBA มาจากมหาวิทยาลัย top 10 ของอเมริกา อังกฤษ บลาๆ ค่าตัวแพงลิบ จ่ายค่า consult ทีเป็นเลข 9 หลัก เงินเดือนของ consultant เหล่านี้จะอยู่ที่หลักแสน (เรทเดียวกันทั่วโลก ดังนั้นทำงานที่เมืองไทย ย่อมเก็บเงินได้มากโขกว่าทำงานต่างประเทศ เพราะค่าครองชีพต่ำกว่า) แต่ก็ทำงานหัวขวิดไปตามๆกัน
  2. Big 4:
    PwC, Deliotte, KPMG, E&Y 4 บริษัทนี้มี service แบ่งเป็น audit (ตรวจสอบบัญชี), tax (ให้คำปรึกษาด้านภาษี), advisory (หรืองาน consult) ที่แข่งกันจริงน่าจะเป็นฝั่ง audit หรือตรวจสอบบัญชีมากกว่า เพราะงาน  consult บางที่ก็ยังไม่มีแบบเต็มรูปแบบ บริษัทเหล่านี้จะทำระดับ operation ละเอียดมากกว่า เฉพาะเจาะจงมากกว่ากลุ่มแรก ค่าตัวก็ลงตามไปด้วย ที่คิดลูกค้าอาจเป็นประมาณ 7-8 หลักหรือมากกว่า ทำงานจนสมองจะกระเซ็นออกมาเหมือนกัน
  3. Consultant + Implementer 
    ส่วนใหญ่จะเป็นด้าน IT เช่น Accenture,  IBM, บริษัท SAP consulting ต่างๆ บริษัทพวกนี้จะให้คำปรึกษา พร้อมทั้งติดตั้งระบบให้ด้วย (คือคิดให้ทำให้เสร็จสรรพ ในขณะที่ 2 กลุ่มบนจะคิดให้อย่างเดียว บริษัทต้องเอาไปทำต่อเอง) ไม่ต้องบอกว่างานน่าปวดหัวและหนักจนขนหัวลุก ใช้ชีวิตอยู่ในบริษัทตัวเองหรือบริษัทลูกค้าอย่างต่ำ 12 ชั่วโมง พนักงานในบริษัทเหล่านี้ เวลากลับบ้านที พ่อแม่อาจจะถามว่า “หนูมาหาใครหรอจ้ะ” ก็เป็นได้
  4. Other Specialist:
    เชี่ยวชาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่น Hay Group จะให้คำปรึกษาในด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (HR) อย่างเดียว ก็มี

1. เพื่อประหยัดต้นทุน (Cost Savings) โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางด้านแรงงานที่มีความแตกต่างกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งช่วยปรับโครงสร้างต้นทุน (Cost Restructuring) จากต้นทุนคงที่ไปยังต้นทุนผันแปรมากขึ้น และยังทำให้ต้นทุนผันแปรสามารถคาดการณ์ได้ง่ายขึ้น
2. ช่วยให้องค์กรสามารถเน้นกิจกรรมไปยังธุรกิจหลัก (Focus on Core Business) ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอยู่ องค์กรสามารถมุ่งทำในสิ่งที่เป็นธุรกิจหลัก และมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันได้มากขึ้น
3. สร้างองค์ความรู้ให้แก่องค์กรมากขึ้น (Knowledge) จากการเข้าหาประสบการณ์ ความรู้ และทรัพย์สินทางปัญญาจากแหล่งต่างๆ ได้กว้างขวางขึ้น
4. การปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด (Contracts) ถ้าการปฎิบัติงานไม่เป็นไปตามสัญญา องค์กรสามารถปรับเป็นตัวเงิน และฟ้องร้องทางกฎหมายได้ ซึ่งอาจทำได้ยากในกระบวนการทำงานภายใน
5. ได้รับบริการจากผู้ที่มีความชำนาญในการดำเนินงาน (Operational Expertise) ซึ่งบางครั้งยากที่จะสร้างขึ้นมาได้เองในระยะเวลาอันสั้นภายในองค์กร โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
6. ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ (Risk Management) ที่ไม่ต้องรับภาระทั้งหมด ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด หรือช่วยในเรื่องของการบริหารกำลังการผลิต (Capacity Management) ที่มักจะเกิดจากวัฎจักรธุรกิจที่มีช่วงขาขึ้นและขาลง
7. เป็นตัวกระตุ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลง (Catalyst for Change) องค์กรสามารถใช้ข้อตกลงที่ทำกับผู้รับทำงานแทนเป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงานที่ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง
8. สามารถใช้ประโยชน์จากเวลาที่ต่างกัน (Leveraging Time Zones) ใน กรณีของผู้ที่รับทำงานแทนอยู่คนละประเทศ ซึ่งช่วยให้การทำงานสามารถทำได้ในระยะเวลานานขึ้น บางครั้งอาจนานตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มประสิทธิภาพของทั้งการให้บริการ และการตลาด ที่จัดส่งของได้ทันตามความต้องการของลูกค้า
เหตุผลของ Outsourcing เปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง จากการสำรวจโดยบริษัท PricewaterhouseCoopers พบว่า ความต้องการลดต้นทุนมาเป็นอันดับหนึ่งของการเลือก Outsourcing (ร้อย ละ 92 ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจ) รองลงมา (ร้อยละ 86) คือ ความต้องการที่จะมีรูปแบบทางธุรกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และร้อยละ 85 ต้องการเข้าสู่องค์ความรู้ได้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ทางด้านนวัตกรรม และข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
ประเภทของ Outsourcing
ธุรกิจ Outsourcing สามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) เป็นกิจกรรมด้านโลจิสติกเป็นส่วนใหญ่ เช่น การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการขนส่ง เป็นต้น
2. การปฏิบัติการ (Operations) เช่น การวิจัยและพัฒนา การผลิต การตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีบริษัทใดทำ หากจะทำก็จะเป็นลักษณะของการจ้างที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยในองค์กรมากกว่าการจ้างองค์กรอื่นมาดำเนินการ
3. การบริหารงานสนับสนุนภายในองค์กร (Business Administration) เช่น งานการเงินและบัญชี การพัฒนาบุคลากร การเบิกจ่ายต่างๆ เป็นต้น ในกลุ่มนี้จะมีการ Outsource มากที่สุด
4. การบริการลูกค้า (Sales, Marketing, and Customer Care) เช่น การขาย ลูกค้าสัมพันธ์ การตลาด เป็นต้น มักจะอยู่ในรูปของ Call Center หรือ Contact Center

วิวัฒนาการของระบบสนับสนุนต่าง ๆ

การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในเชิงธุรกิจอันแรก(กลางปี 1950) ก็คือนำมาช่วยงานที่ ทำซ้ำ ๆ ซึ่งก็คืองานคำนวณทางด้านธุรกรรมที่มีจำนวนมาก คอมพิวเตอร์จะช่วยรีด เอาตัวเลขออกมาในรูปของการสรุปผลในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งนี้ รวมถึงข้อมูลฝ่ายบัญชี การเงิน และฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ระบบที่กล่าวมาข้างต้น เรียกรวมกันกว้าง ๆ ว่าTransaction Processing Systems (TPSs)

Management Information Systems (MISs) เป็นระบบที่เข้าถึง จัดรูปแบบ สรุปผล และ แสดงสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนฟังก์ชันการตัดสินใจในงานที่ทำซ้ำๆในพื้นที่ ต่าง ๆ

Office Automation Systems (OASs): ตัวอย่างเช่น word processing systems ได้ถูก พัฒนาขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการทำงานในสำนักงานและพนักงานธุรการ

Decision Support Systems: ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ซับซ้อน มากขึ้น และไม่ใช่เป็นงานที่ต้องทำเป็นประจำ

End- user computing: การใช้หรือพัฒนาระบบสารสนเทศต่าง ๆ โดยอาศัยพื้นฐาน ของผู้ใช้ที่ต้องการได้เอาท์พุทจากระบบ เช่น นักวิเคราะห์ ผู้บริหาร และ ผู้มีความรู้ ความชำนาญต่าง ๆ ช่วงนี้เกิดเมื่อปลายปี 1980 ในยุคของไมโครคอมพิวเตอร์ ระบบการตัดสินใจ (Supporting system) ได้ขยายออกมาเป็นสองทิศทาง คือ
ก) มุ่งตรงไปยังผู้บริหารระดับสูง (Executive Support System) และผู้บริหารทั่วไป (Enterprisewide information system)
ข) กลุ่มคนทำงาน (Group support system)

Intelligent Support System (ISSs): ประกอบด้วยระบบผู้ชำนาญการ(expert systems) ซึ่งจัดเก็บองค์ความรู้ของผู้ชำนาญการเอาไว้ เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่เก่งทำการศึกษาระบบผู้ชำนาญ การรุ่นใหม่ๆ จะรวมเอาความสามารถในการเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine - learning) เอาไว้ด้วยทำให้มันสามารถเรียนรู้ได้จากกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต

Knowledge Management Systems:ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
- การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร
- การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
- การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต
- การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
- การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
- การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
- การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง

Data Warehousing: คำว่า data warehouse หนึ่งๆ จะหมายถึง ฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนระบบ DSS, ESS และ กิจกรรมการวิเคราะห์และผู้ใช้งานขั้นสุดท้าย

Mobile Computing: ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนลูกจ้างที่ทำงานร่วมกับลูกค้าหรือ พันธมิตรทางธุรกิจภายนอกอาณาบริเวณของบริษัท ให้สามารถทำงานผ่านทางข่าย สาย(wire line network) หรือไร้สาย (wireless network)

ที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาเพื่อสนับการใช้งานภายในองค์กร มาหลายสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับภายนอกองค์กร

การเชื่อมโยงหลายมิติ [1] หรือ ไฮเปอร์ลิงก์ (อังกฤษhyperlink) นิยมเรียกโดยย่อว่า ลิงก์ (อังกฤษlink) คือคำหรือวลีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารข้อความ ใช้สำหรับเปิดเอกสารอื่นที่เชื่อมโยงด้วยวิธีการคลิกลงบนคำหรือวลีนั้น โดยเฉพาะกับเว็บเพจซึ่งจะทำงานบนเว็บเบราว์เซอร์ ข้อความที่เป็นลิงก์มักจะปรากฏเป็นสีหรือรูปแบบที่โดดเด่นกว่าข้อความรอบข้าง ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถคลิกบนลิงก์เพื่อเปลี่ยนหน้าไปยังเว็บเพจที่กำหนดไว้ แทนที่จะพิมพ์ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์โดยตรง
ไฮเปอร์ลิงก์สามารถใช้เป็นการอ้างอิงภายในเอกสารข้อความหลายมิติ นอกจากนี้การคลิกบนลิงก์อาจเป็นการเรียกใช้งานสคริปต์ที่เขียนไว้โดยผู้พัฒนาเว็บก็ได้

เอชทีเอ็มแอล

เมื่อกล่าวถึงลิงก์ ความหมายโดยนัยคือลิงก์ที่ปรากฏในเอกสารเอชทีเอ็มแอลซึ่งพบได้มากมายบนอินเทอร์เน็ต ลิงก์ในเอชทีเอ็มแอลสร้างขึ้นจากแท็ก <a> (ย่อมาจาก anchor) โดยมีแอตทริบิวต์href (ย่อมาจาก hypertext reference [2]) เป็นตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ต (URL) ข้อความที่อยู่ระหว่างกลางแท็กเปิดและปิดจะกลายเป็นข้อความที่สามารถคลิกได้ และทำให้เว็บเบราว์เซอร์เปิดยูอาร์แอลตามที่กำหนดไว้ใน href ตัวอย่างเช่น

พฤติกรรมในเว็บเบราว์เซอร์

เว็บเบราว์เซอร์จะแสดงผลไฮเปอร์ลิงก์ในลักษณะที่แตกต่างจากข้อความรอบข้าง เช่นอาจจะด้วยสีสัน แบบอักษร หรือการตกแต่งอื่น ๆ ที่ต่างออกไป ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ด้วยแคสเคดดิงสไตล์ชีตส์ (SS) เพื่อบ่งบอกผู้ใช้ว่าข้อความใดเป็นลิงก์ที่คลิกได้ เมื่อนำเมาส์ไปวางไว้เหนือลิงก์ ตัวชี้ตำแหน่งจะปรากฏเป็นรูปมือกำลังชี้ มียูอาร์แอลหรือคำอธิบายอื่นปรากฏที่แถบสถานภาพ และตัวลิงก์อาจมีการเปลี่ยนลักษณะไปขึ้นอยู่กับสไตล์ชีต
ปกติแล้วการคลิกลิงก์ธรรมดาจะเปิดหน้าเว็บในเฟรมหรือหน้าต่างเดิมของเว็บเบราว์เซอร์ สำหรับบางโปรแกรม เช่นอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์และมอซิลลา ไฟร์ฟอกซ การกด  Shift พร้อมกับคลิกบนลิงก์จะเป็นการเปิดหน้าเว็บในหน้าต่างใหม่ และการกด Ctrl พร้อมกับคลิกจะเป็นการเปิดหน้าเว็บบนแท็บใหม่ในหน้าต่างเดิม ผู้พัฒนาเว็บที่ต้องการให้เปิดในเฟรมหรือหน้าต่างที่เจาะจง จะใส่แอตทริบิวต์ target เพิ่มลงไปในแท็กลิงก์ โดยกำหนดค่าเป็น "_blank" สำหรับการเปิดในหน้าต่างใหม่หรือแท็บใหม่ [3] หรือระบุเป็นชื่อเฟรมที


สื่อ Interactive Multimedia คือ เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ในระบบการเรียนการสอน (ซึ่ง SE-ED Learning Center เป็นรายแรกในประเทศไทย ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ) โดยมีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน โดยมีปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบ เสียง ข้อความ การ์ตูน Animation เพลง ดนตรี และภาพกราฟฟิกต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้ง ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างกระตือรือร้น และสนุกสนาน
การเรียนการสอนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จะมีการประยุกต์ใช้สื่อ Inteactive Multimedia ผ่าน Interactive Whiteboard ร่วมกับการทำกิจกรรมฝึกภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ในรูปแบบ Activity Based Learning ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้สื่อ Interactive Multimedia ประกอบนี้ จะทำให้นักเรียนได้ “ฝึกใช้” ภาษาอังกฤษ จนเกิดความชำนาญ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center เชื่อว่า “ทักษะทางภาษาอังกฤษ” จะเพิ่มขึ้น ถ้านักเรียนมี “อัตราการใช้ภาษาอังกฤษ (English Use Rate)” ที่เพิ่มมากขึ้น)
สื่อ Interactive Multimedia ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English นั้นมีการผสมผสาน สื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างบูรณาการ ซึ่งประกอบไปด้วย
  • กิจกรรมการเรียนการสอนภายในห้องเรียน (During Class Activities): ครูผู้สอนจะใช้ Interactive Multi – ROMs หรือ Web School ผ่าน Interactive Whiteboard ในการอำนวยการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ (Vocabulary) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ตลอดจนได้ฝึกพูด ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ
  • กิจกรรมการฝึกฝนภาษาอังกฤษหลังเลิกเรียน (After Class Activities): นักเรียนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World คุณพ่อคุณแม่สามารถมีส่วนร่วมในการทบทวนบทเรียน และพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ผ่าน DVD Interactive Multi – ROMs ในขณะที่นักเรียนที่เรียนในหลักสูตร ACTive English ก็สามารถทบทวนบทเรียน และฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ผ่านการทำแบบฝึกหัดในระบบ e-Homework การอ่านหนังสือนอกเวลาแบบ Extensive Reading ผ่านระบบ Animation และการเล่นเกมออนไลน์ภาษาอังกฤษ (เกม Magic Fighter) ในระบบ Web School
  • การฝึกฝน และแบบฝึกหัด (Drill): หลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ได้บูรณาการสื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างครบวงจร โดยหนังสือเรียน (Student’s Book) หนังสืออ่านนอกเวลา (Reader) และแบบฝึกหัด (Workbook) ทุกๆ เล่มของหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จะมี Audio CD และมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับระบบ Web School ซึ่งทำให้การทำแบบฝึกหัด หรือการทำการบ้านของนักเรียน สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียน และการฟัง ของนักเรียนไปควบคู่กัน อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่หนังสือเรียน (Student’s Book) ของหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World ก็จะมี DVD Interactive Multi – ROMs ซึ่งบรรจุ เพลง นิทาน และเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษต่างๆ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ในการทบทวนบทเรียน และเพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนที่บ้านได้
นอกจากนี้สื่อ Interactive Multimedia ที่ใช้ในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ยังเป็นกลไกสำคัญ ที่ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center ใช้ในการควบคุมมาตรฐาน และคุณภาพการเรียนการสอนในหลักสูตร โดยฝ่ายวิชาการ SE-ED Learning Center จะมีความมั่นใจว่าครูผู้สอนทุกๆ คน ในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ในทุกๆ โรงเรียนที่นำเอาหลักสูตรนี้ไปใช้อำนวยการเรียนการสนอ จะมีรูปแบบ และเนื้อหาการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานเหมือนกัน นักเรียนทุกๆ คนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ไม่ว่าจะเรียนจากที่โรงเรียนใด จะได้เรียน ได้ฝึกภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพการในระดับสากลที่เท่าเทียมกัน ทั้งในด้านของวงคำศัพท์ (Headwords) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ภายใต้กรอบมาตรฐานทางภาษาอังกฤษของสหภาพยุโรป CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) และมาตรฐานการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ Anglia English Proficiency Examination และCambridge Young Learners Tests (CYLET)

ในปัจจุบันธนาคารในบ้านเราเกิดกระแสตื่นตัวเรื่องการให้บริการธนาคารทางอิเล็กทรอนิกส์กันเป็นอย่างมาก หรือที่เรามักเรียกกันว่า E-Banking เนื่องจากมีการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบริการ E-Banking เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย ธุรกรรมการชำระเงินผ่านบริการ Mobile banking และ Internet banking พบว่า จำนวนบัญชีลูกค้าที่ใช้บริการ, ปริมาณรายการที่ทำธุรกรรม, และมูลค่ารายการ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2555 มีจำนวนบัญชีลูกค้าที่ใช้บริการ Internet banking ทั้งหมด 6,051,554 บัญชี ปริมาณรายการที่ทำธุรกรรมจำนวน 10,299 รายการ และมีมูลค่ารายการ1,239 พันล้านบาท ในขณะเดียวกันการทำธุรกรรมผ่านบริการ Mobile banking มีมูลค่ารายการเพียง 35 ล้านบาทเท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ Mobile banking มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทกูเกิ้ลเปิดตัว Google Wallet ในปีที่ผ่านมาเพื่อใช้โทรศัพท์ที่รองรับการสื่อสารแนบบ Near Field Communication (NFC) และใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เป็นเหมือนกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชำระเงินได้ตามจุดเครื่องอ่านตามร้านค้าที่รองรับ ซึ่งในปัจจุบันมีการให้บริการในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่อาจจะขยายการให้บริการมาถึงประเทศไทยในไม่ช้า ดังนั้น เราควรทำความรู้จักกับ E-Banking เพื่อให้ทราบว่าคืออะไร และสามารถทำอะไรได้บ้าง
E-Banking คือ การทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคาร โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น การฝากเงิน ถอนเงิน โอนเงิน หรือ สอบถามยอดเงิน เป็นต้น E-Banking อาจเรียกด้วยชื่ออื่น เช่น Internet Banking (ธนาคารอินเตอร์เน็ต), Online Banking (ธนาคารออนไลน์), Electronic Banking (ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์), Cyber Banking (ธนาคารไซเบอร์) เป็นต้น
ประเภทของ E-Banking สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
  1. ให้บริการผ่านอินเตอร์เน็ต
บริการสำหรับธนาคารที่ให้บริการผ่านอินเตอร์เน็ต มีบริการ อาทิ
  • บริการโอนเงินระหว่างบัญชีของผู้ใช้บริการเอง หรือการโอนเงินไปยังบุคคลอื่น
  • บริการสอบถามสถานะเช็ค
  • บริการอายัดเช็ค
  • บริการสอบถามรายการเคลื่อนไหวในบัญชี
  • บริการสอบถามรายการชำระ
  • บริการสอบถามยอดคงเหลือในบัญชี
  • บริการชำระค่าสินค้าหรือบริการ
  • บริการชำระค่าบัตรเครดิต
  • บริการขอสินเชื่อ
เป็นต้น
  1. ให้บริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
ธนาคารที่ให้บริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ มีบริการ อาทิ
  • บริการเอทีเอ็ม (ATM)
  • บริการสมาร์ทการ์ด (Smart d)
  • บริการธนาคารทางโทรศัพท์ (Tele-Banking)
เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น